ฟิล์มรถยนต์มีหลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งานและงบประมาณที่มี ดังนี้:

1. ฟิล์มกรองแสงแบบย้อมสี (Dyed Film)

คุณสมบัติ : ฟิล์มชนิดนี้ใช้การย้อมสีเพื่อช่วยลดแสงที่เข้าสู่รถยนต์
ข้อดี : 1.ราคาถูก   2.ลดแสงสะท้อนและแสงจ้าได้ในระดับหนึ่ง
ข้อเสีย : 1.ไม่สามารถกันความร้อนได้ดี   2.อายุการใช้งานสั้น สีอาจซีดจางเมื่อใช้งานไปนาน ๆ

2. ฟิล์มเคลือบโลหะ (Metalized Film)

คุณสมบัติ : ฟิล์มชนิดนี้เคลือบด้วยชั้นของโลหะบาง ๆ เพื่อช่วยสะท้อนความร้อน
–  ข้อดี : 1.กันความร้อนได้ดี   2.ทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน
ข้อเสีย : 1.อาจรบกวนสัญญาณการสื่อสาร เช่น GPS, โทรศัพท์มือถือ หรือ Easy Pass    2. ราคาแพงกว่าฟิล์มย้อมสี

3. ฟิล์มเซรามิก (Ceramic Film)

คุณสมบัติ :ใช้อนุภาคเซรามิกขนาดเล็กที่ไม่มีส่วนผสมของโลหะ
–  ข้อดี : 1.กันความร้อนได้ดีมาก   2.ไม่รบกวนสัญญาณการสื่อสาร   3.ทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนาน   4. ลดแสงสะท้อนได้ดี
ข้อเสีย : 1. ราคาสูง

4. ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Film)

คุณสมบัติ :ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนในการผลิต ทำให้มีสีดำสนิท
ข้อดี :
– กันความร้อนได้ดี
– ลดแสงสะท้อน
– ไม่ซีดจางง่าย
ข้อเสีย
– ราคาค่อนข้างสูง

 5. ฟิล์มนิรภัย (Safety Film)

คุณสมบัติ :ฟิล์มชนิดนี้มีความหนาเป็นพิเศษ ช่วยป้องกันกระจกแตก
ข้อดี :
– เพิ่มความปลอดภัยในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
– กันรอยขีดข่วนได้ดี
– **ข้อเสีย:**
ข้อเสีย
– ไม่ได้เน้นการกันความร้อนเท่าฟิล์มประเภทอื่น

 6. ฟิล์มใสกันร้อน (Clear Heat-Rejecting Film)

คุณสมบัติ : ฟิล์มใสที่มีคุณสมบัติในการกันความร้อน
ข้อดี :
– ไม่ลดทัศนวิสัยในการขับขี่
– กันความร้อนได้ดี
ข้อเสีย
– ราคาสูง

 7. ฟิล์มปรอท (Reflective Film)

คุณสมบัติ :ฟิล์มชนิดนี้มีการเคลือบปรอทเพื่อสะท้อนแสง
ข้อดี : 1.กันความร้อนได้ดีมาก   2 .ลดแสงสะท้อน
ข้อเสีย
– อาจทำให้เกิดแสงสะท้อนรบกวนผู้อื่น
– รบกวนสัญญาณการสื่อสารบางชนิด

การเลือกฟิล์มรถยนต์ ควรพิจารณาจากความต้องการ เช่น การกันความร้อน, การลดแสงสะท้อน, ความปลอดภัย หรือการไม่รบกวนสัญญาณ รวมถึงงบประมาณที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อให้ได้ฟิล์มที่ตอบโจทย์มากที่สุด!