คนไทยเริ่มเสียภาษีตั้งแต่อายุเท่าไร แล้วเงินเดือนเท่าไรต้องจ่าย?

คนไทยเริ่มเสียภาษีตั้งแต่อายุเท่าไร แล้วเงินเดือนเท่าไรต้องจ่าย?

คนไทยเริ่มเสียภาษีตั้งแต่อายุเท่าไร แล้วเงินเดือนเท่าไรต้องจ่าย?

การจ่ายภาษีถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่ทำงานและมีรายได้ รวมถึงการเข้าใจถึงกฎหมายเกี่ยวกับภาษีที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายและไม่เกิดปัญหาทางการเงินในภายหลัง ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับว่า คนไทยเริ่มเสียภาษีตั้งแต่อายุเท่าไร และเงินเดือนเท่าไรที่ต้องเสียภาษี พร้อมทั้งข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสมและไม่ผิดพลาด

Free A business desk setup with a calculator, papers, and a keyboard, reflecting a work environment. Stock Photo

คนไทยเริ่มเสียภาษีตั้งแต่อายุเท่าไร?

คำตอบคือ ไม่มีอายุที่กำหนดตายตัวว่าจะต้องเริ่มเสียภาษี การเสียภาษีไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับ จำนวนเงินได้ ที่ได้รับในแต่ละปี หากคุณมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไรก็ต้องเสียภาษีทั้งสิ้น

เงินเดือนเท่าไรต้องจ่ายภาษี?

เกณฑ์ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย จะมีการปรับเปลี่ยนไปในแต่ละปี โดยทั่วไปแล้ว หากคุณมี เงินได้สุทธิเกิน 120,000 บาทต่อปี คุณจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) และอาจต้องเสียภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

หมายเหตุ: เงินได้สุทธิ หมายถึง รายได้ทั้งหมดที่ได้รับในหนึ่งปี หักค่าใช้จ่ายที่หักลดหย่อนได้ตามกฎหมายแล้ว

อัตราภาษีบุคคลธรรมดา

  1. รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท หากรายได้ในปีนั้นๆ ไม่เกิน 150,000 บาท จะไม่ต้องเสียภาษี (เป็นรายได้ที่ได้รับการยกเว้นจากภาษี)
  2. รายได้ตั้งแต่ 150,001 – 300,000 บาท หากรายได้ของคุณอยู่ในช่วงนี้ จะต้องเสียภาษีในอัตรา 5% ของรายได้ที่เกินจาก 150,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้ 250,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะเป็น 5% ของ 100,000 บาท คือ 5,000 บาท
  3. รายได้ตั้งแต่ 300,001 – 500,000 บาท อัตราภาษีสำหรับช่วงนี้คือ 10% ซึ่งจะคำนวณจากรายได้ที่เกิน 300,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากรายได้ของคุณอยู่ที่ 400,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะเป็น 10% ของ 100,000 บาท คือ 10,000 บาท
  4. รายได้ตั้งแต่ 500,001 – 750,000 บาท อัตราภาษีในช่วงนี้คือ 15% ของรายได้ที่เกิน 500,000 บาท เช่น หากคุณมีรายได้ 700,000 บาท คุณจะต้องจ่ายภาษี 15% ของ 200,000 บาท คือ 30,000 บาท
  5. รายได้ตั้งแต่ 750,001 – 1,000,000 บาท หากรายได้ของคุณอยู่ในช่วงนี้ จะต้องเสียภาษีในอัตรา 20% ของรายได้ที่เกินจาก 750,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากรายได้ของคุณคือ 900,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายคือ 20% ของ 150,000 บาท คือ 30,000 บาท
  6. รายได้ตั้งแต่ 1,000,001 – 2,000,000 บาท อัตราภาษีที่ต้องจ่ายในช่วงนี้คือ 25% ซึ่งจะคิดจากรายได้ที่เกินจาก 1,000,000 บาท
  7. รายได้ตั้งแต่ 2,000,001 – 4,000,000 บาท อัตราภาษีคือ 30% ของรายได้ที่เกินจาก 2,000,000 บาท
  8. รายได้เกิน 4,000,000 บาท หากรายได้ของคุณเกิน 4,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดคือ 35%

Free Close-up of budgeting items including calculator, cash, and notebook for financial planning. Stock Photo

ตัวอย่างการคำนวณภาษีรายได้

สมมุติว่าในปีหนึ่งคุณมีรายได้รวมทั้งปี 600,000 บาท การคำนวณภาษีจะเป็นไปตามขั้นบันไดภาษี โดยมีการหักค่าลดหย่อนต่างๆ ตามที่กำหนด เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนบุตร ค่าลดหย่อนสำหรับประกันสังคม และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีที่คุณต้องจ่ายลง ซึ่งการคำนวณภาษีนั้นยังสามารถทำได้ด้วยการติดต่อ สำนักงานบัญชี เพื่อให้ได้มาซึ่งรายละเอียดที่แม่นยำกว่า

7 วิธีจดจำเนื้อหาหนังสือได้มากขึ้น

7 วิธีจดจำเนื้อหาหนังสือได้มากขึ้น

7 วิธีจดจำเนื้อหาหนังสือได้มากขึ้น

การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาความรู้และทักษะต่างๆ แต่การจะจดจำเนื้อหาที่อ่านได้อย่างแม่นยำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การมีเทคนิคการจดจำที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ 7 วิธีในการจดจำเนื้อหาหนังสือได้มากขึ้น

Free A cozy indoor bookstore with stacked bookshelves filled with novels and literature. Stock Photo

1. ทำความเข้าใจก่อนเริ่มอ่าน

ก่อนที่คุณจะเริ่มอ่านหนังสือ เลือกที่จะเข้าใจเนื้อหาคร่าวๆ ของหนังสือก่อน เช่น ชื่อบทหรือหัวข้อหลักในหนังสือจะช่วยให้คุณเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น การทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนจะช่วยให้คุณคาดเดาเนื้อหาหรือเรื่องราวที่กำลังจะอ่าน ซึ่งจะทำให้การจดจำข้อมูลต่างๆ ในหนังสือเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะคุณมีพื้นฐานและทิศทางที่ชัดเจนในการอ่าน

2. ใช้เทคนิคการอ่านแบบ Active Reading

การอ่านแบบ Active Reading หรือการอ่านอย่างมีส่วนร่วม คือการตั้งคำถามในระหว่างการอ่านและจดบันทึกความคิดเห็นของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาของหนังสือได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยังช่วยให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่อ่านกับความรู้ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ได้ดีขึ้น การตั้งคำถามขณะอ่านจะทำให้สมองของคุณทำงานและพยายามหาคำตอบ ซึ่งช่วยเสริมกระบวนการจดจำ

3. จดบันทึกสรุปเนื้อหาหลังการอ่านทุกบท

การจดบันทึกเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการจดจำเนื้อหาเมื่ออ่านหนังสือ การเขียนสรุปเนื้อหาหลังจากที่คุณอ่านจบแต่ละบทหรือแต่ละหัวข้อ จะช่วยให้คุณมีภาพรวมของข้อมูลที่สำคัญและสามารถทบทวนได้ในภายหลัง วิธีนี้ยังช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้น เพราะกระบวนการในการเขียนจะช่วยกระตุ้นความจำให้คงอยู่

4. ใช้เทคนิคการทบทวนและทบทวนซ้ำ

การทบทวนเนื้อหาหลังจากอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญในการจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น หลังจากที่คุณอ่านจบแต่ละบทหรือแต่ละบทเรียน ควรทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงเวลาไม่นานหลังการอ่าน การทบทวนจะช่วยให้คุณจำข้อมูลที่ได้เรียนรู้ไว้อย่างยาวนาน และยังช่วยให้สมองของคุณเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันได้ดีขึ้น การทบทวนซ้ำๆ จะทำให้เนื้อหาฝังลึกในความจำระยะยาว

5. ใช้เทคนิคการเชื่อมโยง (Association)

การเชื่อมโยงข้อมูลใหม่ๆ กับสิ่งที่คุณรู้แล้วสามารถช่วยเพิ่มความจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหาหนังสือมีความซับซ้อนหรือเป็นข้อมูลที่ไม่คุ้นเคย การสร้างภาพในหัวหรือการเชื่อมโยงเนื้อหากับประสบการณ์หรือความรู้ที่คุณมีจะช่วยให้คุณเข้าใจและจำได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คุณอาจจะเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญในหนังสือกับเหตุการณ์ที่คุณเคยเรียนรู้ในชีวิตจริงหรือในสื่ออื่นๆ

6. อ่านหนังสืออย่างมีวัตถุประสงค์

การอ่านหนังสือโดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนช่วยให้คุณไม่เสียเวลาและเพิ่มโอกาสในการจดจำข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อคุณรู้ว่าเหตุผลที่คุณอ่านหนังสือนั้นคืออะไร คุณจะสามารถเลือกโฟกัสไปที่ข้อมูลที่สำคัญที่สุดและสามารถข้ามส่วนที่ไม่จำเป็นไปได้ ซึ่งการตั้งเป้าหมายในการอ่านจะช่วยให้คุณมีสมาธิในการอ่านและนำไปสู่การจดจำเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น

7. ใช้เทคนิคการสอนหรือบอกผู้อื่น

การสอนหรือการบอกผู้อื่นเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเรียนรู้จากหนังสือเป็นเทคนิคที่ทรงพลังในการจดจำข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อคุณอธิบายหรือถ่ายทอดข้อมูลให้กับผู้อื่น สมองของคุณจะต้องคิดและจัดระเบียบเนื้อหาที่ได้อ่านมาใหม่ นอกจากนี้ การสอนยังช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่าน เพราะมันทำให้คุณต้องมองเนื้อหาในมุมมองที่กว้างขึ้น

สรุป

การจดจำเนื้อหาหนังสือไม่ได้เป็นเรื่องยาก หากคุณมีวิธีการที่ถูกต้อง การใช้เทคนิคต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้คุณสามารถจดจำเนื้อหาได้มากขึ้น และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ท่านั่งหน้าคอมแบบไหนทำให้ปวดหลัง? ปัญหาที่คนทำงานต้องเจอ และวิธีแก้ไข

ท่านั่งหน้าคอมแบบไหนทำให้ปวดหลัง? ปัญหาที่คนทำงานต้องเจอ และวิธีแก้ไข

ท่านั่งหน้าคอมแบบไหนทำให้ปวดหลัง? ปัญหาที่คนทำงานต้องเจอ และวิธีแก้ไข

การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นกิจวัตรประจำวันของหลายๆ คน แต่รู้หรือไม่ว่าท่านั่งที่ไม่ถูกต้องสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ โดยเฉพาะอาการปวดหลังที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงท่านั่งหน้าคอมที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง และวิธีการปรับปรุงท่านั่งเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น

 Free Woman wearing a face mask working from home with laptop and coffee. Stock Photo

ทำไมท่านั่งหน้าคอมถึงทำให้ปวดหลัง?

การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ในท่าที่ไม่ถูกต้อง จะก่อให้เกิดแรงกดทับที่กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้หลายส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ปวดคอ ปวดไหล่ และปวดหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ ท่านั่งที่ไม่ถูกต้องยังส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตและการทำงานของระบบประสาทอีกด้วย

  1. การนั่งหลังงอ

การนั่งที่หลังงอหรือยืดตัวไปข้างหน้าเป็นท่าทางที่พบบ่อยในผู้ที่นั่งหน้าคอมเป็นเวลานาน โดยท่านี้จะทำให้กระดูกสันหลังไม่ได้รับการรองรับอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างได้ง่าย เนื่องจากกระดูกสันหลังต้องแบกรับน้ำหนักจากท่าทางที่ผิดปกติ

  1. นั่งหลังตรงเกินไป

การนั่งหลังตรงเกินไปโดยไม่พิงพนักเก้าอี้ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักในการรักษาสมดุลของร่างกาย

  1. การนั่งไขว่ห้าง

การนั่งไขว่ห้างในขณะที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์สามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในร่างกาย และสร้างแรงกดทับที่กระดูกสันหลังและข้อต่อ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่าย และทำให้กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ เกิดความตึงเครียดมากขึ้น

  1. การนั่งเอนตัวไปข้างหน้าเกินไป

ท่านั่งที่เอียงไปข้างหน้าโดยการโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อมองจอคอมพิวเตอร์อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนทำงานหนักขึ้น และทำให้เกิดอาการปวดหลังอย่างรวดเร็ว เพราะกล้ามเนื้อจะต้องคอยรับน้ำหนักจากการโน้มตัวไปข้างหน้า

การออกกำลังกายเพื่อลดอาการปวดหลัง

การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาปวดหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่เน้นการยืดกล้ามเนื้อหลังและคอ เช่น โยคะ หรือการว่ายน้ำ

หากมีอาการปวดหลัง ควรทำอย่างไร?

หากคุณมีอาการปวดหลังจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

 

บทสรุป

ท่านั่งที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันอาการปวดหลัง การปรับปรุงท่านั่งและการออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่ดีและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แนะนำวิธีใช้ถังดับเพลิง อุปกรณ์ป้องกันตัวจากเหตุร้ายแรง

แนะนำวิธีใช้ถังดับเพลิง อุปกรณ์ป้องกันตัวจากเหตุร้ายแรง

แนะนำวิธีใช้ถังดับเพลิง อุปกรณ์ป้องกันตัวจากเหตุร้ายแรง

ไฟไหม้เป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา การมีอุปกรณ์ดับเพลิงติดตัวไว้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ถังดับเพลิงถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการดับเพลิงในระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามไปมากกว่านี้ได้ หากคุณมีถังดับเพลิงอยู่ในบ้านหรือที่ทำงานแล้ว ลองมาเรียนรู้วิธีการใช้งานที่ถูกต้องกันเลย

Free Interior locker room with a brick wall and a neon sign reading 'Fight For Your Right'. Stock Photo

ประเภทของถังดับเพลิงและการเลือกใช้งาน

ถังดับเพลิงมีหลากหลายประเภท ซึ่งการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับสถานการณ์และประเภทของไฟเป็นสิ่งสำคัญ โดยปกติแล้วถังดับเพลิงสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามสารเคมีที่ใช้ เช่น ถังดับเพลิงชนิดน้ำ (Water Fire Extinguisher), ถังดับเพลิงชนิดโฟม (Foam Fire Extinguisher), ถังดับเพลิงชนิดผงเคมี (Dry Powder Fire Extinguisher) และถังดับเพลิงชนิดคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Fire Extinguisher) โดยแต่ละประเภทจะมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

ถังดับเพลิงชนิดน้ำจะใช้สำหรับดับไฟที่เกิดจากวัสดุที่ไม่ติดไฟเอง เช่น ไม้หรือกระดาษ, ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีสามารถใช้ได้กับไฟหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟจากของเหลวหรือไฟจากไฟฟ้า ส่วนถังดับเพลิงชนิดคาร์บอนไดออกไซด์จะเหมาะสำหรับการดับไฟที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ไฟฟ้า

ประเภทของถังดับเพลิง

ถังดับเพลิงมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีสารเคมีที่แตกต่างกันออกไป และเหมาะสำหรับดับไฟชนิดต่างๆ ดังนี้

  • ถังดับเพลิงผงเคมี: เหมาะสำหรับดับไฟชนิด A, B, C
  • ถังดับเพลิง CO2: เหมาะสำหรับดับไฟชนิด B, C
  • ถังดับเพลิงโฟม: เหมาะสำหรับดับไฟชนิด A, B
  • ถังดับเพลิงผงแห้ง: เหมาะสำหรับดับไฟชนิด D (โลหะ)

วิธีการใช้ถังดับเพลิงอย่างถูกต้อง

การใช้ถังดับเพลิงที่ถูกต้องสามารถช่วยให้สถานการณ์ไม่บานปลายจนเกินไป ขั้นตอนการใช้ถังดับเพลิงนั้นไม่ได้ยาก แต่ต้องรู้วิธีใช้อย่างถูกต้องและปฏิบัติตามอย่างมีระเบียบขั้นตอน ซึ่งวิธีการใช้งานมีดังนี้

  1. ตรวจสอบถังดับเพลิงก่อนใช้งาน – ก่อนที่จะใช้ถังดับเพลิงในกรณีฉุกเฉิน ควรตรวจสอบว่าถังดับเพลิงนั้นพร้อมใช้งานหรือไม่ โดยดูที่ตัวชี้วัดความดันและตรวจสอบความสมบูรณ์ของถัง
  2. ดึงสลักป้องกัน – ถังดับเพลิงส่วนใหญ่จะมีสลักที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการใช้งานโดยไม่ตั้งใจ โดยให้ดึงสลักนี้ออกก่อนที่จะใช้
  3. จับที่ปากและยืนในท่าที่ปลอดภัย – ควรยืนห่างจากไฟและอยู่ในท่าที่สามารถหลบหลีกจากอันตรายได้ พร้อมจับที่ปากของถังดับเพลิงให้มั่นคง
  4. การกดและฉีดสารดับเพลิง – กดคันโยกเพื่อปล่อยสารดับเพลิงออกมา และใช้การฉีดสารดับเพลิงไปที่ฐานของไฟ ซึ่งจะช่วยดับไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ตรวจสอบไฟอีกครั้ง – หลังจากการดับไฟแล้ว ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟดับสนิท ไม่ให้เกิดการลุกลามกลับขึ้นมาอีก

 

สรุป

การรู้วิธีใช้ถังดับเพลิงเป็นทักษะที่สำคัญที่ทุกคนควรมี เพราะสามารถช่วยชีวิตและทรัพย์สินของเราได้ หากคุณมีถังดับเพลิงอยู่ในบ้านหรือที่ทำงาน ควรหมั่นตรวจสอบสภาพและฝึกซ้อมการใช้งานเป็นประจำ เพื่อให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดคิด

 

5 บทเรียนจากการ “ผิดพลาด” ในการทำธุรกิจ

5 บทเรียนจากการ “ผิดพลาด” ในการทำธุรกิจ

5 บทเรียนจากการ “ผิดพลาด” ในการทำธุรกิจ

โดยทั่วไป เราจะโหดร้ายกับตัวเองอย่างมากเมื่อพูดถึงการทำผิดพลาดและการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต

  • หากความสัมพันธ์ห้าครั้งแรกของเราจบลงด้วยการเลิกรากัน เราจะคิดว่าเราถูกกำหนดให้ต้องอยู่คนเดียวตลอดไป
  • ถ้าเราเรียนหนังสือ จบการศึกษา และใช้เวลาหลายปีในการฝึกฝนเพื่อทำงานที่ท้ายที่สุดแล้วเราก็เกลียดมัน เราจะรู้สึกเหมือนเป็นคนล้มเหลวที่ไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย
  • ถ้าเรามีความฝันที่จะเขียนหนังสือ หรือเริ่มต้นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่า และเราสะดุดในครั้งแรก เราจะบอกว่าเราไม่เหมาะสมกับสิ่งนี้

ในกรณีเช่นนี้ เมื่อเราพยายามทำบางสิ่งที่ซับซ้อนและมีหลายแง่มุม ฉันเชื่อว่าการทำผิดพลาดเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังทำอะไรบางอย่างถูกต้อง
เหตุผลก็คือ…

Free Elegant close-up of a man in a designer suit adjusting his tie, showcasing luxury fashion. Stock Photo

5 บทเรียนจากการ “ผิดพลาด”

การทำผิดพลาดไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด ฉันได้ทำผิดพลาดมาหลายครั้ง และได้ค้นพบบทเรียนสำคัญ 5 ประการจากประสบการณ์ของฉัน

  1. การเลือกที่ดูเหมือนแย่ในภายหลังเป็นสัญญาณของการเติบโต ไม่ใช่คุณค่าในตนเองหรือสติปัญญา เมื่อคุณมองย้อนกลับไปที่การเลือกของคุณจากหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณควรหวังเสมอว่าจะพบการตัดสินใจบางอย่างที่ดูโง่เขลาในตอนนี้ เพราะนั่นหมายความว่าคุณกำลังเติบโต หากคุณอาศัยอยู่ในโซนปลอดภัยที่คุณรู้ว่าคุณจะไม่ทำผิดพลาด คุณจะไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของคุณได้ หากคุณรู้เกี่ยวกับบางสิ่งเพียงพอที่จะตัดสินใจอย่างเหมาะสมในการลองครั้งแรก คุณก็ไม่ได้ท้าทายตัวเอง
  2. เนื่องจากตัวเลือกแรกของคุณมีแนวโน้มที่จะผิดพลาด สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือเริ่มต้น ยิ่งคุณเรียนรู้จากความผิดพลาดได้เร็วเท่าไร คุณก็จะยิ่งค้นพบสิ่งที่ถูกต้องได้เร็วขึ้นเท่านั้น สำหรับสถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น ความสัมพันธ์หรือการเป็นผู้ประกอบการ คุณต้อง เริ่มต้นก่อนที่คุณจะรู้สึกพร้อม เนื่องจากไม่มีใครพร้อมอย่างแท้จริง วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้คือ เริ่มต้นฝึกฝน
  3. แบ่งหัวข้อที่ใหญ่เกินกว่าจะเชี่ยวชาญออกเป็นงานย่อยๆ ที่สามารถเชี่ยวชาญได้ ฉันไม่สามารถมองธุรกิจใดๆ และบอกคุณได้ว่าต้องทำอย่างไร การเป็นผู้ประกอบการเป็นหัวข้อที่ใหญ่เกินไป แต่ฉันสามารถดูเว็บไซต์ใดๆ ก็ได้และบอกคุณวิธีปรับแต่งเพื่อสร้างรายชื่ออีเมล เพราะหัวข้อนั้นมีขนาดเล็กพอสำหรับฉันในการพัฒนาความเชี่ยวชาญระดับหนึ่ง หากคุณต้องการเก่งขึ้นในการตัดสินใจครั้งแรกที่แม่นยำ ให้เล่นในสนามที่เล็กกว่า ตามที่ นีลส์ บอร์ (Niels Bohr) นักฟิสิกส์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลกล่าวไว้ว่า “ผู้เชี่ยวชาญคือบุคคลที่ได้ทำผิดพลาดทุกอย่างที่สามารถทำได้ในสาขาเฉพาะแคบๆ”

  4. เวลาที่จะเชื่อสัญชาตญาณของคุณคือเมื่อคุณมีความรู้หรือประสบการณ์ในการสนับสนุน คุณสามารถไว้วางใจตัวเองในการตัดสินใจอย่างเฉียบขาดในพื้นที่ที่คุณมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง วิธีเดียวที่จะค้นพบสิ่งที่ได้ผลคือการยอมรับปรัชญาของการทดลอง
  5. ความจริงที่ว่าความล้มเหลวจะเกิดขึ้น ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการคาดหวังที่จะล้มเหลว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรู้สึกหดหู่หรือยอมแพ้เพียงเพราะคุณจะต้องเลือกผิดบ้าง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คุณต้องพยายามอย่างเต็มที่ทุกครั้ง เพราะความพยายามและการฝึกฝนคือสิ่งที่ขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้ พวกมันมีความสำคัญ แม้ว่าคุณจะล้มเหลวก็ตาม ตระหนักว่าไม่มีการเลือกใดถูกกำหนดให้ล้มเหลว แต่ความล้มเหลวเป็นครั้งคราวคือค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายหากคุณต้องการให้ตัวเองถูกต้อง คาดหวังที่จะชนะและเล่นเหมือนกับว่าคุณจะชนะตั้งแต่เริ่มต้น

 

แปลจาก https://jamesclear.com/first-choice