7 วิธีจดจำเนื้อหาหนังสือได้มากขึ้น

7 วิธีจดจำเนื้อหาหนังสือได้มากขึ้น

7 วิธีจดจำเนื้อหาหนังสือได้มากขึ้น

การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาความรู้และทักษะต่างๆ แต่การจะจดจำเนื้อหาที่อ่านได้อย่างแม่นยำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การมีเทคนิคการจดจำที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ 7 วิธีในการจดจำเนื้อหาหนังสือได้มากขึ้น

Free A cozy indoor bookstore with stacked bookshelves filled with novels and literature. Stock Photo

1. ทำความเข้าใจก่อนเริ่มอ่าน

ก่อนที่คุณจะเริ่มอ่านหนังสือ เลือกที่จะเข้าใจเนื้อหาคร่าวๆ ของหนังสือก่อน เช่น ชื่อบทหรือหัวข้อหลักในหนังสือจะช่วยให้คุณเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น การทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนจะช่วยให้คุณคาดเดาเนื้อหาหรือเรื่องราวที่กำลังจะอ่าน ซึ่งจะทำให้การจดจำข้อมูลต่างๆ ในหนังสือเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะคุณมีพื้นฐานและทิศทางที่ชัดเจนในการอ่าน

2. ใช้เทคนิคการอ่านแบบ Active Reading

การอ่านแบบ Active Reading หรือการอ่านอย่างมีส่วนร่วม คือการตั้งคำถามในระหว่างการอ่านและจดบันทึกความคิดเห็นของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาของหนังสือได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยังช่วยให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่อ่านกับความรู้ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ได้ดีขึ้น การตั้งคำถามขณะอ่านจะทำให้สมองของคุณทำงานและพยายามหาคำตอบ ซึ่งช่วยเสริมกระบวนการจดจำ

3. จดบันทึกสรุปเนื้อหาหลังการอ่านทุกบท

การจดบันทึกเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการจดจำเนื้อหาเมื่ออ่านหนังสือ การเขียนสรุปเนื้อหาหลังจากที่คุณอ่านจบแต่ละบทหรือแต่ละหัวข้อ จะช่วยให้คุณมีภาพรวมของข้อมูลที่สำคัญและสามารถทบทวนได้ในภายหลัง วิธีนี้ยังช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้น เพราะกระบวนการในการเขียนจะช่วยกระตุ้นความจำให้คงอยู่

4. ใช้เทคนิคการทบทวนและทบทวนซ้ำ

การทบทวนเนื้อหาหลังจากอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญในการจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น หลังจากที่คุณอ่านจบแต่ละบทหรือแต่ละบทเรียน ควรทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงเวลาไม่นานหลังการอ่าน การทบทวนจะช่วยให้คุณจำข้อมูลที่ได้เรียนรู้ไว้อย่างยาวนาน และยังช่วยให้สมองของคุณเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันได้ดีขึ้น การทบทวนซ้ำๆ จะทำให้เนื้อหาฝังลึกในความจำระยะยาว

5. ใช้เทคนิคการเชื่อมโยง (Association)

การเชื่อมโยงข้อมูลใหม่ๆ กับสิ่งที่คุณรู้แล้วสามารถช่วยเพิ่มความจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหาหนังสือมีความซับซ้อนหรือเป็นข้อมูลที่ไม่คุ้นเคย การสร้างภาพในหัวหรือการเชื่อมโยงเนื้อหากับประสบการณ์หรือความรู้ที่คุณมีจะช่วยให้คุณเข้าใจและจำได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คุณอาจจะเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญในหนังสือกับเหตุการณ์ที่คุณเคยเรียนรู้ในชีวิตจริงหรือในสื่ออื่นๆ

6. อ่านหนังสืออย่างมีวัตถุประสงค์

การอ่านหนังสือโดยมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนช่วยให้คุณไม่เสียเวลาและเพิ่มโอกาสในการจดจำข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อคุณรู้ว่าเหตุผลที่คุณอ่านหนังสือนั้นคืออะไร คุณจะสามารถเลือกโฟกัสไปที่ข้อมูลที่สำคัญที่สุดและสามารถข้ามส่วนที่ไม่จำเป็นไปได้ ซึ่งการตั้งเป้าหมายในการอ่านจะช่วยให้คุณมีสมาธิในการอ่านและนำไปสู่การจดจำเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น

7. ใช้เทคนิคการสอนหรือบอกผู้อื่น

การสอนหรือการบอกผู้อื่นเกี่ยวกับสิ่งที่คุณเรียนรู้จากหนังสือเป็นเทคนิคที่ทรงพลังในการจดจำข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อคุณอธิบายหรือถ่ายทอดข้อมูลให้กับผู้อื่น สมองของคุณจะต้องคิดและจัดระเบียบเนื้อหาที่ได้อ่านมาใหม่ นอกจากนี้ การสอนยังช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่าน เพราะมันทำให้คุณต้องมองเนื้อหาในมุมมองที่กว้างขึ้น

สรุป

การจดจำเนื้อหาหนังสือไม่ได้เป็นเรื่องยาก หากคุณมีวิธีการที่ถูกต้อง การใช้เทคนิคต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้คุณสามารถจดจำเนื้อหาได้มากขึ้น และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การนับระยะเวลาในการครอบครองปรปักษ์หากมีการเปลี่ยนมือเจ้าของที่ดินที่แท้จริง อายุความจะต้องมีการเริ่มต้นนับใหม่คำพิพากษาศาลฎีกา 6147/2554   ถึงแม้จำเลยจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่จำเลยซื้อที่ดินแปลงอื่นเมื่อวันที่  30 มีนาคม 2530 เป็นต้นมาก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม  2533 บริษัท ค. ซื้อที่ดินมีโฉนดแปลงพิพาทจากเจ้าของเดิมโดยจดทะเบียนซื้อขายและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ในช่วงระยะเวลาก่อนหน้านั้นขึ้นอ้างยันต่อบริษัท ค.ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง การนับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ของจำเลยจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2533 เป็นต้นมา ซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คือวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ยังไม่ครบระยะเวลา  10 ปี จำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382

การนับระยะเวลาในการครอบครองปรปักษ์หากมีการเปลี่ยนมือเจ้าของที่ดินที่แท้จริง อายุความจะต้องมีการเริ่มต้นนับใหม่คำพิพากษาศาลฎีกา 6147/2554 ถึงแม้จำเลยจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่จำเลยซื้อที่ดินแปลงอื่นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2530 เป็นต้นมาก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2533 บริษัท ค. ซื้อที่ดินมีโฉนดแปลงพิพาทจากเจ้าของเดิมโดยจดทะเบียนซื้อขายและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ในช่วงระยะเวลาก่อนหน้านั้นขึ้นอ้างยันต่อบริษัท ค.ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง การนับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ของจำเลยจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2533 เป็นต้นมา ซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คือวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ยังไม่ครบระยะเวลา 10 ปี จำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382

การนับระยะเวลาในการครอบครองปรปักษ์หากมีการเปลี่ยนมือเจ้าของที่ดินที่แท้จริง อายุความจะต้องมีการเริ่มต้นนับใหม่คำพิพากษาศาลฎีกา 6147/2554 ถึงแม้จำเลยจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่จำเลยซื้อที่ดินแปลงอื่นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2530 เป็นต้นมาก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2533 บริษัท ค. ซื้อที่ดินมีโฉนดแปลงพิพาทจากเจ้าของเดิมโดยจดทะเบียนซื้อขายและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ในช่วงระยะเวลาก่อนหน้านั้นขึ้นอ้างยันต่อบริษัท ค.ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง การนับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ของจำเลยจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2533 เป็นต้นมา ซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คือวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ยังไม่ครบระยะเวลา 10 ปี จำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382

ปิดอากรแสตมป์ แต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4574/2561โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืม จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ โจทก์นำสืบสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานหลักฐานตามข้ออ้างของตน สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร แต่ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมถือว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 มีผลเท่ากับว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง และปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคมีอำนาจวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง

ปิดอากรแสตมป์ แต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4574/2561โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืม จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ โจทก์นำสืบสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานหลักฐานตามข้ออ้างของตน สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร แต่ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมถือว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 มีผลเท่ากับว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง และปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคมีอำนาจวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง

ปิดอากรแสตมป์ แต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4574/2561โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืม จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ โจทก์นำสืบสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานหลักฐานตามข้ออ้างของตน สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร แต่ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด ย่อมถือว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 มีผลเท่ากับว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง และปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคมีอำนาจวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง

นายหน้าเพียงแต่ชี้ช่อง พาไปดูทรัพย์สิน ติดต่อ จัดการให้ได้ซื้อขายกัน ถือว่าสมบูรณ์ มีสิทธิได้รับบำเหน็จ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุกๆ ครั้ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3181/2536   นายหน้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 นั้น ได้แก่ผู้ชี้ช่องให้ได้มีการเข้าทำสัญญากันหรือผู้ที่จัดการให้ได้ทำสัญญากัน และนายหน้ามีสิทธิได้รับบำเหน็จ ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันเสร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น การที่ ก. ได้พา ส. ผู้ซื้อไปพบจำเลยที่ 4 ผู้ขายและพากันไปดูที่ดิน และต่อมาได้มีการซื้อขายกันเนื่องมาจากการชี้ช่องดังกล่าว ก. จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จ โดยไม่จำเป็นที่ ก.จะต้องอยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุกๆ ครั้ง แต่อย่างใด

นายหน้าเพียงแต่ชี้ช่อง พาไปดูทรัพย์สิน ติดต่อ จัดการให้ได้ซื้อขายกัน ถือว่าสมบูรณ์ มีสิทธิได้รับบำเหน็จ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุกๆ ครั้ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3181/2536 นายหน้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 นั้น ได้แก่ผู้ชี้ช่องให้ได้มีการเข้าทำสัญญากันหรือผู้ที่จัดการให้ได้ทำสัญญากัน และนายหน้ามีสิทธิได้รับบำเหน็จ ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันเสร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น การที่ ก. ได้พา ส. ผู้ซื้อไปพบจำเลยที่ 4 ผู้ขายและพากันไปดูที่ดิน และต่อมาได้มีการซื้อขายกันเนื่องมาจากการชี้ช่องดังกล่าว ก. จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จ โดยไม่จำเป็นที่ ก.จะต้องอยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุกๆ ครั้ง แต่อย่างใด

นายหน้าเพียงแต่ชี้ช่อง พาไปดูทรัพย์สิน ติดต่อ จัดการให้ได้ซื้อขายกัน ถือว่าสมบูรณ์ มีสิทธิได้รับบำเหน็จ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุกๆ ครั้ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3181/2536 นายหน้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 นั้น ได้แก่ผู้ชี้ช่องให้ได้มีการเข้าทำสัญญากันหรือผู้ที่จัดการให้ได้ทำสัญญากัน และนายหน้ามีสิทธิได้รับบำเหน็จ ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันเสร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น การที่ ก. ได้พา ส. ผู้ซื้อไปพบจำเลยที่ 4 ผู้ขายและพากันไปดูที่ดิน และต่อมาได้มีการซื้อขายกันเนื่องมาจากการชี้ช่องดังกล่าว ก. จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จ โดยไม่จำเป็นที่ ก.จะต้องอยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุกๆ ครั้ง แต่อย่างใด

ถ้าคุณไปถามนกกระจอก เรื่อง  “บินสูงเหนือเมฆ”มันจะตอบคุณว่า “ คุณทำมันไม่ได้หรอก” กับ “ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”แต่ถ้าคุณไปถาม นกอินทรีย์มันจะตอบว่า“ คุณสามารถทำมันได้”แล้วมันก็จะสอนคุณบินอีกต่างหากการถามให้ถูกคน มีความสำคัญ

ถ้าคุณไปถามนกกระจอก เรื่อง “บินสูงเหนือเมฆ”มันจะตอบคุณว่า “ คุณทำมันไม่ได้หรอก” กับ “ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”แต่ถ้าคุณไปถาม นกอินทรีย์มันจะตอบว่า“ คุณสามารถทำมันได้”แล้วมันก็จะสอนคุณบินอีกต่างหากการถามให้ถูกคน มีความสำคัญ

ถ้าคุณไปถามนกกระจอก เรื่อง “บินสูงเหนือเมฆ”มันจะตอบคุณว่า “ คุณทำมันไม่ได้หรอก” กับ “ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”แต่ถ้าคุณไปถาม นกอินทรีย์มันจะตอบว่า“ คุณสามารถทำมันได้”แล้วมันก็จะสอนคุณบินอีกต่างหากการถามให้ถูกคน มีความสำคัญ

กรณีที่ซื้อทรัพย์จากการประมูลในการขายทอดตลาด สำนักงานบังคับคดี ปรากฏว่า จำเลย ลูกหนี้ และบริวารไม่ยอมออกจากทรัพย์ที่ประมูลได้ คำถามที่พบบ่อย คือผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดหรือประมูลสู้ราคาได้ จากสำนักงานบังคับคดี แต่กลับพบว่ายังมีลูกหนี้ บริวาร ยังคงพักอาศัยอยู่บ้าน หรือคอนโดหรือที่ดินนั้น เราควรทำอย่างไรตอบ : ผู้ซื้อทรัพย์หรือผู้ประมูลได้จะต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อบังคับให้ลูกหนี้ พร้อมบริวาร ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากทรัพย์ประมูล   โดยผู้ซื้อหรือผู้ประมูลได้ ไม่จำเป็นต้องไปยื่นคำฟ้องขับไล่เป็นคดีใหม่ ตามพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายขึ้นกว่าในอดีต

กรณีที่ซื้อทรัพย์จากการประมูลในการขายทอดตลาด สำนักงานบังคับคดี ปรากฏว่า จำเลย ลูกหนี้ และบริวารไม่ยอมออกจากทรัพย์ที่ประมูลได้ คำถามที่พบบ่อย คือผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดหรือประมูลสู้ราคาได้ จากสำนักงานบังคับคดี แต่กลับพบว่ายังมีลูกหนี้ บริวาร ยังคงพักอาศัยอยู่บ้าน หรือคอนโดหรือที่ดินนั้น เราควรทำอย่างไรตอบ : ผู้ซื้อทรัพย์หรือผู้ประมูลได้จะต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อบังคับให้ลูกหนี้ พร้อมบริวาร ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากทรัพย์ประมูล โดยผู้ซื้อหรือผู้ประมูลได้ ไม่จำเป็นต้องไปยื่นคำฟ้องขับไล่เป็นคดีใหม่ ตามพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายขึ้นกว่าในอดีต

กรณีที่ซื้อทรัพย์จากการประมูลในการขายทอดตลาด สำนักงานบังคับคดี ปรากฏว่า จำเลย ลูกหนี้ และบริวารไม่ยอมออกจากทรัพย์ที่ประมูลได้

คำถามที่พบบ่อย คือผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดหรือประมูลสู้ราคาได้ จากสำนักงานบังคับคดี แต่กลับพบว่ายังมีลูกหนี้ บริวาร ยังคงพักอาศัยอยู่บ้าน หรือคอนโดหรือที่ดินนั้น เราควรทำอย่างไร

ตอบ : ผู้ซื้อทรัพย์หรือผู้ประมูลได้จะต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อบังคับให้ลูกหนี้ พร้อมบริวาร ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากทรัพย์ประมูล   โดยผู้ซื้อหรือผู้ประมูลได้ ไม่จำเป็นต้องไปยื่นคำฟ้องขับไล่เป็นคดีใหม่ ตามพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายขึ้นกว่าในอดีต

#image_title