จ้างทนายความ ฟ้องคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายได้จำนวนเท่าไหร่ ? และศาลใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณา? ความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นความผิดอันยอมความได้ไหม?

จ้างทนายความ ฟ้องคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายได้จำนวนเท่าไหร่ ? และศาลใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณา? ความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นความผิดอันยอมความได้ไหม?

จ้างทนายความ ฟ้องคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายได้จำนวนเท่าไหร่ ? และศาลใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณา?
ความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นความผิดอันยอมความได้ไหม?

โดย ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(ทนายโทนี่)
https://www.facebook.com/profile.php?id=61570145816740
คำถามประเด็นที่ 1 จ้างทนายความ ฟ้องคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายได้จำนวนเท่าไหร่ ?
ตอบ หากถามผมว่าฟ้องคดีหมิ่นประมาทจะได้ค่าเสียหายจำนวนเท่าไหร่ ? ผมบอกไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีหมิ่นประมาทหากว่าชนะคดีแล้วจะได้ค่าเสียหายจำนวนเท่าไร เพราะว่ามันมีหลักเกณฑ์และมีปัจจัยหลายอย่างที่ศาลจะต้องนำมาพิจารณา แต่พูดกันตามตรงนะครับ ว่าคดีหมิ่นประมาทในประเทศไทย ได้รับค่าเสียหายน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างเช่น
ประเทศสหรัฐอเมริกา ศาลสั่ง’ทรัมป์’จ่ายค่าเสียหายคดีหมิ่นประมาทคู่กรณีกว่า 83 ล้านดอลล์ หรือเกือบ 3,000 ล้านบาทให้กับนางอี. จีน แคร์โรลล์ ซึ่งยื่นฟ้องทรัมป์ที่ทำลายชื่อเสียงของเธอในฐานะที่เป็นนักข่าวที่น่าเชื่อถือ
สำหรับประเทศไทยของเรา หากบอกกันตรงตรง การจ่ายค่าเสียหายคดีหมิ่นประมาทให้แก่คู่กรณีจะได้ค่อนข้างน้อยส่วนใหญ่ก็แค่หลักหมื่น บางกรณีอาจจะมีบ้าง เป็นหลักแสน แต่เป็นหลักล้านจะมีน้อยมากๆฯ
ดังนั้น เราจะหวังว่าจะฟ้องคดีหมิ่นประมาทให้ได้เงินเป็นล้านเป็น 10 ล้านบาทหรือ 100 ล้านบาท มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซึ่งส่วนใหญ่คดีประเภทนี้มักจะจบลงด้วยการเจรจาไกล่เกลี่ย และให้ฝ่ายที่เป็นจำเลยขอโทษและโพสต์ขอโทษตามสื่อต่างๆ แล้วก็ชดใช้เงินส่วนหนึ่ง ซึ่งคดีหมิ่นประมาทจำนวนมากไม่ได้รับค่าเสียหายเต็มตามจำนวนเงินที่ฟ้องเรียกค่าเสียหาย
เช่น ศาลตัดสินแล้ว คดีหมิ่นประมาททราย เจริญปุระ คู่กรณีต้องจ่ายค่าเสียหาย โพสต์ขอโทษอีก 200 วัน(อ้างอิง มติชนออนไลน์ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565)
คำถามประเด็นที่ 2 ศาลใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณา?
ตอบ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การกำหนดค่าเสียหายในคดีหมิ่นประมาท นั้น ไม่ได้มีหลักเกณฑ์แน่นอนตายตัว ว่าจะต้องจ่ายกันเท่าไหร่ เพราะเป็นดุลยพินิจของศาล ที่จะต้องนั่งพิจารณาคดีนั้นๆ บางคดีอาจได้มากหรือได้น้อย ก็คงต้องดูพฤติการณ์ต่างๆในคดี และภาพรวม ซึ่ง หลักเกณฑ์ที่ศาลใช้ในการพิจารณามีดังต่อไปนี้
1.ข้อที่ศาลจะต้องนำเอาไปคิดและพิจารณา ข้อความหรือเนื้อหาหรือคำพูดของการหมิ่นประมาทนั้น เป็นข้อความหรือเนื้อหาหรือคำพูดในการหมิ่นประมาทนั้นมันรุนแรงหรือมันร้ายแรงหรือหนักเบามากน้อยเพียงใด หากเป็นการทำให้เขาได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรงหรือรุนแรง อย่างนี้ ค่าเสียหายที่ได้รับก็จะสูงหรือเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าหากว่าเป็นการหมิ่นประมาทแบบเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่รุนแรงหรือร้ายแรง อันนี้ก็จะได้รับค่าเสียหาย ที่ต่ำหรือจำนวนน้อย
2.ข้อที่ศาลจะต้องนำเอาไปคิดและพิจารณา ก็คือว่ามีใครบ้าง ที่รับรู้ข้อความหรือเนื้อหาหรือคำพูด หากมีบุคคลต่างๆรับรู้เป็นจำนวนมาก เช่น การโพสต์ในช่อง YouTube มีคนดูเป็นหลักล้าน , การโพสต์ใน Facebook มีคนกดไลค์กดแชร์เป็นแสนเป็นล้าน หรือโพสต์ลงในสื่อออนไลน์อื่นๆ รวมทั้งสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หากมีคนดูเป็นจำนวนมาก กล่าวคือมีคนรับรู้ในวงกว้าง และผู้เสียหายก็ได้รับผลกระทบในวงกว้าง อันนี้จะได้รับค่าเสียหายที่สูงหรือมากกว่า การโพสต์ใน Youtube มีคนดูแค่ 15 คน หรือโพสต์ใน Facebook มีคนกดไลค์อยู่ 1 คน หรือ มีการหมิ่นประมาทในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นกล่าวคือคนอ่านหรือดูเฉพาะในจังหวัดนั้นๆ ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่คนอ่านกันทั่วประเทศ แบบนี้คนรับรู้ในวงแคบและผู้เสียหายก็ได้รับผลกระทบในวงแคบ ก็จะได้รับค่าเสียหายที่ต่ำหรือน้อยลงไป
3.ข้อที่ศาลจะต้องนำเอาไปคิดและพิจารณา ก็คือเรื่องของระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ของการหมิ่นประมาท รวมไปถึงจำนวนกี่ครั้งในการหมิ่นประมาท เช่น ถ้าข้อความหรือเนื้อหาหรือคำพูดในการหมิ่นประมาท เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีเขียนข้อความหรือเนื้อหาหรือคำพูด หมิ่นประมาทอยู่หลายครั้งหรือซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นจำนวนหลายหลายครั้ง เช่น มีการลงโพสต์ลงในกลุ่มไลน์ มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ มีการเผยแพร่ใน YouTube หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์เหล่านี้ก็เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน เป็นจำนวนหลายครั้งหรือเป็นจำนวนมาก มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะเอามาคิดและพิจารณา คิดค่าเสียหาย ให้ได้รับค่าเสียหายที่สูงหรือมากขึ้น แต่ถ้าสมมุติโพสต์ลงใน Facebook หรือ Line หรือ Youtube เพียงแค่ 1 ครั้ง แล้วรีบลบหรืออีกวันสองวันรีบลบ ข้อความหรือเนื้อหาหรือคำพูด ออกจากระบบทันที หรือเป็นการแค่พูดหมิ่นประมาท แค่ครั้งเดียว พูดกับคนคนเดียวหรือสองคน อันนี้ค่าเสียหายที่จะได้รับมันก็จะต่ำหรือน้อยลงไป
4.ข้อที่ศาลจะต้องนำเอาไปคิดและพิจารณา ในเรื่องของการรับค่าเสียหายก็ คือฐานะทางสังคมของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรือจำเลย เช่นฐานะภาพทางด้านสังคม ด้านการศึกษา ของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นของผู้ถูกกระทำ หากผู้ที่ถูกกระทำหรือโจทก์ เขาเป็นดารา เป็นนักการเมือง เป็นบุคคลหรือผู้มีชื่อเสียง เป็นนักร้อง กล่าวคือเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปอย่างกว้างขวาง แน่นอนว่าเขาก็จะได้รับความเสียในวงกว้างไปด้วย เขาก็จะได้รับค่าเสียหายที่สูงหรือจำนวนมาก แต่ถ้าโจทก์หรือผู้ถูกกระทำหรือผู้เสียหาร เป็นคนโดยทั่วไปไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็จะได้รับค่าเสียหายที่ต่ำหรือน้อยกว่า อีกทั้งศาลยังพิจารณา ฐานะ อาชีพ รายได้ ของผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ ประกอบการพิจารณาอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น ครูไพบูลย์ ชนะคดีหมิ่นประมาท ศาลตัดสินจำคุก นายห้างประจักษ์ชัย 4 ปี 16 เดือน ไม่รอลงอาญา จ่ายค่าเสียหาย 1 ล้านบาท ทั้งนี้ ภายหลังฟังคำพิพากษา จำเลยได้ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์(อ้างอิง ข่าวออนไลน์7HD เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2566 ) ทั้งนี้ ครูไพบูลย์ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 20 ล้านบาท แต่ศาลตัดสินสั่งจ่ายค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านบาท
5.ข้อที่ศาลจะต้องนำเอาไปคิดและพิจารณา คือผลที่เกิดขึ้นจากการหมิ่นประมาท โดยเฉพาะ ผลกระทบกับคนที่ถูกกระทำมีมากน้อยเพียงใด เช่น การได้รับความอับอายขายหน้า ความเจ็บใจ เพราะ บางคนถูกสังคมตราหน้า บางคนถึงขั้นต้องลาออกจากงานไปเลย บางคนเสียสุขภาพจิต บางคนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนอาจถูกดำเนินการทางวินัย บางคนถูกถูกตั้งกรรมการสอบสวน พวกนี้เป็นองค์ประกอบที่ศาลจะนำเอามาเป็นหลักเกณฑ์ในการคิดและวินิจฉัยค่าเสียหายว่าจะได้รับมากน้อยเพียงใด

6.ข้อที่ศาลจะต้องนำเอาไปคิดและพิจารณา คือการสำนึกผิดของผู้กระทำความผิด และผู้กระทำความผิดหรือจำเลยในคดีหมิ่นประมาท ได้มีการบรรเทาผลร้ายอะไรบ้างให้แก่โจทก์ เช่น สมมุติว่า นาย ก.ได้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมา นาย ก.ได้สำนึกผิด แล้วได้ลบโพสต์ ข้อความหรือเนื้อหาหรือคำพูด ออกจากระบบ ไม่ว่าจะเป็น Youtube , Facebook , Line ฯลฯ ออกไปแล้ว อีกทั้งยังได้โพสต์ ข้อความหรือเนื้อหาหรือคำพูด ที่เป็นการขอโทษ และได้มีการพูดคุยกันทำการขอโทษกับผู้เสียหายโดยตรง มีการกราบเท้าเพื่อขอโทษ มีการเจรจาขอวางเงินเพื่อชดใช้ ค่าเสียหาย จำนวนหนึ่ง ลักษณะอย่างนี้เขาถือได้ว่า จำเลย ได้พยายามบรรเทาผลร้าย แล้วได้สำนึกผิด ในการกระทำของตนเอง ศาลก็จะพิจารณาให้ชดใช้ค่าเสียหายที่ต่ำลงหรือน้อยลง

สรุป สำหรับการฟ้องคดีหมิ่นประมาท ซึ่งมีความผิดทั้งทางอาญาและละเมิดในทางแพ่ง
ในทางอาญานั้นกฎหมายกำหนดระวางโทษจำคุกและปรับสำหรับความผิดฐานหมิ่นประมาท ส่วนในทางแพ่งนั้นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นถือเป็นการละเมิด มาตราที่มีความเกี่ยวข้อง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๔๒๐ , มาตรา ๔๒๓ และ มาตรา ๔๔๗
คำถามประเด็นที่ 3 ความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นความผิดอันยอมความได้ไหม?
ตอบ คดีหมิ่นประมาทหรือความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นความผิดอันยอมความได้ ประมวลกฎหมายอาญา หมวด ๓
ความผิดฐานหมิ่นประมาท มาตรา ๓๓๓ บัญญัติไว้ว่า ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย

สำหรับข้อควรระวัง หากไม่แน่ใจ ก็ไม่ควรรีบร้อนไปแจ้งความ ควรปรึกษาทนายความหรือบุคคลที่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นประมาทก่อนแจ้งความ เพราะหากแจ้งความไปแล้ว อาจโดนฟ้องกลับได้ โดยจำเลยสามารถฟ้องกลับได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 การให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ

#image_title

เมื่อเจอคนที่ใช่ คุณจะรู้สึกถึงความสบายใจในบางครั้งคนที่ใช่ ไม่ใช่เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แต่ เป็นคนที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆเวลาที่อยู่ใกล้ และรักเราในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่รักเราในแบบที่เขาอยากจะให้เราเป็นแต่ในบางครั้งชีวิตของคนเราก็ไม่สามารถควบคุมได้เพราะ “ ในบางครั้งคนที่ใช่ก็มาในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ และบางครั้งคนที่ไม่ใช่ก็เข้ามาในช่วงเวลาที่ใช่ ”โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์(อาจารย์โทนี่)www.drsuthichai.com

เมื่อเจอคนที่ใช่ คุณจะรู้สึกถึงความสบายใจในบางครั้งคนที่ใช่ ไม่ใช่เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แต่ เป็นคนที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆเวลาที่อยู่ใกล้ และรักเราในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่รักเราในแบบที่เขาอยากจะให้เราเป็นแต่ในบางครั้งชีวิตของคนเราก็ไม่สามารถควบคุมได้เพราะ “ ในบางครั้งคนที่ใช่ก็มาในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ และบางครั้งคนที่ไม่ใช่ก็เข้ามาในช่วงเวลาที่ใช่ ”โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์(อาจารย์โทนี่)www.drsuthichai.com

เมื่อเจอคนที่ใช่ คุณจะรู้สึกถึงความสบายใจ
ในบางครั้งคนที่ใช่ ไม่ใช่เป็นคนที่สมบูรณ์แบบ แต่ เป็นคนที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆเวลาที่อยู่ใกล้ และรักเราในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่รักเราในแบบที่เขาอยากจะให้เราเป็น
แต่ในบางครั้งชีวิตของคนเราก็ไม่สามารถควบคุมได้เพราะ
“ ในบางครั้งคนที่ใช่ก็มาในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ และบางครั้งคนที่ไม่ใช่ก็เข้ามาในช่วงเวลาที่ใช่ ”
โดย…สุทธิชัย ปัญญโรจน์(อาจารย์โทนี่)
www.drsuthichai.com

#image_title

การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายมีอะไรบ้าง

การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายมีอะไรบ้าง

การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายมีอะไรบ้าง
โดย ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(ทนายโทนี่)
https://www.facebook.com/profile.php?id=61570145816740

การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมาย มีด้วยกันทั้งสิ้นหลายรูปแบบเช่น

ข้อที่ 1 การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน กล่าวคือการได้มาโดยการขอออกโฉนดที่ดินทั้งตําบล และได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยขอออกโฉนดที่ดินเฉพาะราย
อ้างอิง พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 58 และ มาตรา 59
ข้อที่ 2 การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยนิติกรรม เช่น โดยการทำนิติกรรม ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ,จำนอง, ขายฝาก และต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ

ข้อที่ 3 การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยผลของกฎหมาย เป็นที่ดินที่ไม่ได้ไปแย่งใครมา แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ที่ดินงอกริมตลิ่ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะน้ำในแม่น้ำได้พัดพาเอากรวดหินดินทรายมาถมแล้วก็เกิดการพอกพูนขึ้นทุกวันจนกลายเป็นที่ดินขึ้นมา ซึ่งตามหลักกฎหมายได้กําหนดให้ที่ดินงอกริมตลิ่งพวกนี้ ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินผืนเดิมที่เกิดที่ดินงอกริมตลิ่ง พวกนี้สามารถนําไปขอออกโฉนดได้ แต่ต้องไม่ใช่ที่ดินซึ่งเกิดจากการถมที่ดินเพิ่มเติม

ข้อที่ 4 การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามหลักกฎหมายโดยการครอบครองปรปักษ์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ ในทางปฏิบัติ แม้จะเข้าองค์ประกอบตามมาตรา 1382 กำหนดแล้ว ก็ไม่ใช่จะได้มาได้โดยง่ายเพราะบุคคลที่อ้างการครอบครองปรปักษ์ที่ดินนั้น จะต้องดำเนินการ จ้างทนายความ พร้อมแสดงหลักฐาน ”ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์”
ก่อนศาลจะพิจารณาหรือมีคำสั่ง จะต้องกระบวนการต่างๆ โดยศาลจะมีหมายส่งไปยังเจ้าของที่ดิน ที่มีชื่อในกรรมสิทธิ์(โฉนด)ดังกล่าว เพื่อให้มาแสดงตนในการ “คัดค้าน”และศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ที่ครองครองกล่าวอ้างการครอบครองปรปักษ์ดำเนินการเกี่ยวกับการรังวัดที่ดินพิพาท และนำหลักฐานอื่นๆมาแสดงเช่น พยานบุคคล,ภาพถ่ายที่ดินที่ได้ครอบครอง,แผนที่ที่ดิน ฯลฯ เพื่อประกอบการพิจารณาในศาลด้วย
ในกรณีไม่มีผู้คัดค้านหรือเจ้าของที่ดินมาแสดงตน ศาลอาจจะมีคำสั่งให้บุคคลผู้ครอบครองที่ดินนั้นได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ และผู้ครอบครองนั้นจะต้องนำคำสั่งศาลไปติดต่อกรมที่ดินหรือสำนักงานที่ดินจังหวัด เพื่อขอเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวได้
ข้อที่ 5 การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามหลักกฎหมายโดยทางมรดก
ที่ดินมรดกนั้นจะต้องเป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิ์หรือมีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ ตัวอย่างเช่น โฉนดที่ดินและถ้าเป็นที่มรดก เช่น นส.3 , สค.1 ก็ถือว่าเป็นที่ดินมือเปล่าหรือมีเพียงสิทธิครอบครอง การได้ที่ดินโดยมรดกนี้จะต้องมีการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินก่อนจึงจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้

#image_title

ที่ดินของเราเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางเข้า-ออก เราจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรได้บ้าง?

ที่ดินของเราเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางเข้า-ออก เราจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรได้บ้าง?

ที่ดินของเราเป็นที่ดินตาบอด ไม่มีทางเข้า-ออก เราจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรได้บ้าง?
โดย ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(ทนายโทนี่)
https://www.facebook.com/profile.php?id=61570145816740
ที่ดินตาบอด หรือ ที่ดินที่ไม่มีทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ เรามีวิธีการแก้ไขตาม กฎหมายซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ได้ 2 วิธี ดังนี้
1.ภาระจำยอม และ 2.ทางจำเป็น
1.ภาระจำยอม
ตามกฎหมายการได้มาซึ่งสิทธิของ “ภาระจำยอม” นั้น มี 2 ทาง คือ
1. การได้มาโดยผลทางกฎหมายหรือการได้มาโดยอายุความ เช่น ที่ดินของเราไม่มีทางเข้าออกเป็นที่ดินตาบอด แต่เราได้มีเจตนาในการขับรถผ่านที่ดินหรือใช้ทางผ่านที่ดินของ นาย ก. ไปไหนมาไหน โดยสงบและอย่างเปิดเผย ใครๆ ก็รู้ว่า เราได้ใช้ถนนหรือที่ดินของนาย ก. เป็นเส้นทางในการเข้าออกเป็นประจำ เป็นเวลา 10 ปี เช่นนี้แล้ว เราย่อมได้สิทธิตามกฎหมายตาม “ภาระจำยอม” เหนือที่ดินของของนาย ก. ทันที
2. การได้มาโดยผลทางนิติกรรม ตัวอย่าง เช่น นาย ฮ.มีที่ดินอยู่ทั้งหมด 2 แปลง และนาย ฮ.ได้ขายที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่ เรา โดยมีข้อตกลงว่า เราสามารถใช้ทางบนที่ดินของนาย ฮ. อีกแปลงหนึ่งเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้ เช่นนี้แล้ว เรา ย่อมได้สิทธิ “ภาระจำยอม” เหนือที่ดินของนาย ฮ.
ที่สำคัญการได้มาซึ่ง ภาระจำยอม โดยผลทางนิติกรรม จำเป็นต้องทำหนังสือสัญญาและต้องไปจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าสัญญาไม่สมบูรณ์

2.ทางจำเป็น
หากของเรา เป็นที่ดินตาบอด ถูกล้อมรอบด้วยที่ดินของผู้อื่น ไม่มีทางเข้าออกไปถนนสาธารณะ เรามีสิทธิขอเปิด “ทางจำเป็น” กับเจ้าของที่ดินที่ปิดล้อมที่ดินของเราได้
การใช้สิทธิตามกฎหมายของ “ทางจำเป็น” เราไม่จำเป็นจะต้องทำเป็นหนังสือ หรือจดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่ เหมือนกับ “ภาระจำยอม” เพราะ “ทางจำเป็น” เป็นสิทธิตามกฎหมายอยู่ในตัวแล้ว เราซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตาบอดสามารถขอใช้สิทธินั้นได้ เพียงแค่ต้องใช้ด้วยความสุจริต และเคารพต่อเจ้าของที่ดินที่เราไปขอที่ดินของเขา

การขอ “ ทางจำเป็น ” หรือการขอทำถนนหรือทางออก ก็ต้องใช้หลักพอสมควรแก่ความจำเป็น และจะต้องส่งผลกระทบต่อที่ดินที่ยอมให้ใช้ “ทางจำเป็น” ให้น้อยที่สุด โดยถือหลักว่า เราต้องเลือกทำถนนหรือทำทางออกที่ใกล้ถนนสาธารณะมากที่สุด และการใช้ “ทางจำเป็น” นั้น ที่สำคัญก็คือ เราหรือผู้ใช้ จะต้องจ่ายค่าทดแทน ให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ที่ให้เราใช้ “ ทางจำเป็น” ด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกันเอง ว่าจะจ่ายกันราคาเท่าไรกี่บาท

#image_title

ที่ดิน สปก. ขายไปแล้ว รับเงินไปแล้ว อ้างว่าเป็น โมฆะ ฟ้องขับไล่คนซื้อที่ดิน สปก. ให้ออกไปจากที่ดิน  จะทำได้ไหม?

ที่ดิน สปก. ขายไปแล้ว รับเงินไปแล้ว อ้างว่าเป็น โมฆะ ฟ้องขับไล่คนซื้อที่ดิน สปก. ให้ออกไปจากที่ดิน  จะทำได้ไหม?

ที่ดิน สปก. ขายไปแล้ว รับเงินไปแล้ว อ้างว่าเป็น โมฆะ ฟ้องขับไล่คนซื้อที่ดิน สปก. ให้ออกไปจากที่ดิน  จะทำได้ไหม?

โดย…ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ หรือ ทนายโทนี่

https://www.facebook.com/profile.php?id=61570145816740

ตอบ เดิม การซื้อขายที่ดิน ส.ป.ก.โดยส่งมอบการครอบครองให้แล้ว สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ (อ้างอิง จาก ฎีกาที่ 2293/2552 ) ต่อมาศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ผู้ขายที่ดิน ส.ป.ก.ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11165/2558)

 

พระราชบัญญัติ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39  ห้ามไม่ให้ซื้อขาย  หากซื้อขายก็ถือว่าเป็นโมฆะตามมาตรา 150 (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)

พระราชบัญญัติ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518

มาตรา 39 ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิ ในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ก าหนดในกฎกระทรวง

 

หากมีการซื้อขาย ก็จะถือว่าเป็นโมฆะตามมาตรา 150 (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)

“มาตรา 150” หรือ “ป.พ.พ. มาตรา 150 “ คือ หนึ่งในมาตราของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ “

 

ดังนั้น คนที่ซื้อก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปเป็นเจ้าของที่ดินได้  แต่ในทางกลับกัน หากไม่มีการทำประโยชน์ในที่ดิน แปลงดังกล่าว ที่ดิน สปก.แปลงนั้นก็จะตกไปเป็นของ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ สปก. และทาง. คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ สปก. ก็จะนำไปจัดสรรให้แก่เกษตรกรรายใหม่ได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2293/2552 กรณีโจทย์-จำเลย ทำสัญญาซื้อ – ขายที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเป็นนิติกรรมที่เป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11165/2558 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2558)

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์เป็นผู้รับสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ ท. เมื่อปี 2546 แล้ว ท. สละการครอบครองให้จำเลยทั้งสองเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา แม้ก่อนฟ้องโจทก์กับ ท. ได้ทำบันทึกข้อตกลงว่าโจทก์จะคืนเงินให้แก่ ท. 110,000 บาท และ ท. จะคืนที่ดินพิพาทให้โจทก์ แต่โจทก์ก็มิได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้แก่ ท. แต่อย่างใด การที่โจทก์กลับมาอ้างเป็นผู้มีสิทธิตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 – 01 ก.) และมาฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจาก ท. จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท

 

สำหรับประเด็น ที่ดินพิพาทที่มีปัญหา  ก็เป็นเรื่องที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ต่อไป

#image_title

 

 

 

 

 

พูดเรื่องจริงก็อาจถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้เช่นกัน

พูดเรื่องจริงก็อาจถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้เช่นกัน

พูดเรื่องจริง จะฟ้องหมิ่นประมาทคนพูดได้หรือไม่
คำตอบ คือ ถึงแม้จะพูดเรื่องจริง ก็สามารถฟ้องหมิ่นประมาทได้(มาตรา 326) แต่ก็มีหลักกฎหมายที่ระบุว่า ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท(มาตรา 329) หรือ
มีข้อยกเว้นเที่ไม่ต้องรับโทษ (มาตรา 330 )
โดย….ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ (ทนายโทนี่)
https://www.facebook.com/profile.php?id=61570145816740
ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานหมิ่นประมาท
มาตรา ๓๒๖ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ( คำว่า “ใส่ความ” ตามภาษากฎหมาย คือ การพูดเรื่องอะไรก็ได้ที่ทำให้คนอื่นหรือผู้อื่นฟังแล้วเกิดความเสียหายกับผู้นั้น แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม)
แต่ก็มีหลักกฎหมายตามมาตรา 329 ที่ระบุว่า ผู้ที่ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ได้แก่บุคคลที่ซึ่งบัญญัติไว้ตามมาตรา 329 คือ
มาตรา 329 ประมวลกฎหมายอาญา คือ ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
(๑) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม
(๒) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
(๓) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ
(๔) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท “

สำหรับหลักกฎหมาย ที่ได้รับการยกเว้นที่ไม่ต้องรับโทษ (มาตรา 330 )
มาตรา 330 ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
สรุปอีกครั้ง คือ
พูดเรื่องจริง จะฟ้องหมิ่นประมาทคนพูดได้หรือไม่
คำตอบ คือ ถึงแม้จะพูดเรื่องจริง ก็สามารถฟ้องหมิ่นประมาทได้(มาตรา 326) แต่ก็มีหลักกฎหมายที่ระบุว่า ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท(มาตรา 329) หรือ มีข้อยกเว้นเที่ไม่ต้องรับโทษ (มาตรา 330 )

#image_title